ในโลกของจิวเวลรี่ “ทองเค” หรือ Karat Gold มักเป็นคำที่ทำให้ใครหลายคนสงสัยว่าแท้จริงแล้วมันคือทองแท้หรือทองเทียม — ถ้าให้ตอบแบบสั้นๆหนึ่งประโยค ก็สามารถตอบได้ว่า “ทองเค” คือทองแท้ทุกประการ โดยเป็นทองที่ผ่านการผสมทางโลหะวิทยาเพื่อให้เหมาะกับการนำมาทำจิวเวลรี่
คำว่า “K” มาจากคำว่า Karat ซึ่งเป็นหน่วยวัด “ความบริสุทธิ์ของทองคำ” (ไม่เหมือน Carat ที่เป็นหน่วยน้ำหนักของเพชร) มีต้นกำเนิดในยุโรปยุคกลาง โดยกำหนดให้ ทองบริสุทธิ์ที่สุดมีค่าเท่ากับ 24K หมายถึงแร่ทองคำบริสุทธิ์ 24 ส่วนจากทั้งหมด 24 ส่วน หรือ 100% โดยไม่มีโลหะอื่นเจือปน ส่วนทองที่มีค่า K ต่ำกว่านั้น เช่น 18K หมายถึงทองคำบริสุทธิ์ 18 ส่วนจากทั้งหมด 24 ส่วน ส่วนที่เหลือคือโลหะมีค่าชนิดอื่น ๆ เช่น เงิน หรือแพลเลเดียม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ทองคำให้คงรูปได้อย่างสวยงาม
ทอง 24K: ทองบริสุทธิ์ที่บอบบางเกินใช้งาน

ทอง 24 กะรัต คือแร่ทองคำบริสุทธิ์ 100% ที่ไม่ผสมโลหะชนิดอื่นเลย เนื้อทองชนิดนี้มีสีเหลืองเข้มจัดและนุ่มมาก ใช้เล็บจิกก็เป็นรอย จึงไม่เหมาะสำหรับทำจิวเวลรี่ เพราะจะเสียรูปง่ายเมื่อสวมใส่ ทอง 24K จึงมักถูกนำมาใช้ในรูปของทองคำเปลว งานศิลปะ หรือเครื่องรางมากกว่าจะเป็นเครื่องประดับ
แม้จะเป็นทองแท้บริสุทธิ์ที่สุด แต่ในแง่ของงานช่างทองแล้ว ทอง 24K คือความงามที่ “เปราะบางเกินจริง”
ทอง 23K: ทองแบบไทย ๆ ที่คุ้นตา

ทอง 23K เป็นทองที่นิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะในร้านทองเยาวราช ทองชนิดนี้ผสมแร่ทอง 23 ส่วน เข้าก้บโลหะแข็งชนิดอื่นเข้าไปอีก 1 ส่วน เพื่อให้เกิดความแข็งแรงมากขึ้นในระดับที่เพียงพอที่จะนำมาขึ้นรูปพรรณ แต่เนื้อทองชนิดนี้ยังมีความนิ่มมากจนสามารถ “บิดตะขอได้ด้วยมือเปล่า” ซึ่งบอบบางเกินไปสำหรับงานจิวเวลรี่ โดยเฉพาะงานที่ต้องฝังเพชรหรือพลอย เนื้อทองประเภทนี้ยึดเกาะเพชรพลอยไว้ได้ไม่นานก็คลายตัว ทำให้เพชรพลอยมักหลุดออกจากตัวเรือนในที่สุด
ทอง 23K จึงเป็นทองที่เหมาะกับการสะสมหรือซื้อขายเป็นสินทรัพย์ มากกว่าการทำจิวเวลรี่ประดับเพชรพลอย
ทอง 18K: สมดุลทองคำแห่งศิลปะจิวเวลรี่

ทอง 18K คือทองแท้ที่ถือเป็น “มาตรฐานสากล” ในโลกของจิวเวลรี่ชั้นสูง เป็นทองที่มีแร่ทอง 18 ส่วน ผสมโลหะมีค่าอื่นอีก 6 ส่วน เพื่อเสริมความแข็งแรงและคงรูปของตัวเรือน
- ความพิเศษอีกประการของทอง 18K อยู่ที่ “ศิลปะแห่งการผสมโลหะมีค่า” ซึ่งเปิดโอกาสให้ช่างสามารถรังสรรค์เฉดสีทองได้อย่างหลากหลาย
- เมื่อผสมแร่ทองด้วย พาลาเดียม (Pd) หรือแพลทินัม (Pt) จะได้เป็น ทองคำขาว (White Gold) ซึ่งมีเฉดขาวลุคโมเดิร์นแวววาว
- เมื่อผสมด้วย ทองแดง (Cu) และเงิน (Ag) ในสัดส่วนเหมาะสม จะได้เป็น ทองชมพู (Rose Gold) ซึ่งเป็นทองเฉดชมพูอบอุ่น สื่อถึงความโรแมนติก
- และเมื่อผสมด้วยเงินและทองแดงในอัตราควบคุม จะได้เป็น ทอง (Yellow Gold) ที่มีสีละมุนตา ไม่อะร๊าอร่ามเหมือนทองเยาวราชแบบดั้งเดิม
นอกจากนี้ ทองชนิดนี้ยังมีความแข็งแรงที่จะสามารถยึดเกาะเพชรและพลอยได้อย่างดีเยี่ยมยาวนานหลายทศวรรษ จึงทำให้ทอง 18K ถูกเลือกใช้ในจิวเวลรี่ชั้นสูงตั้งแต่ศตวรรตที่ 18 เป็นต้นมา
ทอง 14K: ทองแท้สำหรับชีวิตประจำวัน

ทอง 14K เป็นทองที่ได้รับความนิยมสูงในอเมริกาและญี่ปุ่น ด้วยสัดส่วนโลหะผสมที่มากขึ้น ทำให้ทองชนิดนี้แข็งแรงและทนทานกว่าทองชนิดอื่น อีกทั้งยังมีน้ำหนักที่เบากว่า จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องประดับที่สวมใส่ได้ทุกวันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องรอยขีดข่วนหรือการเสียรูป
เช่นเดียวกับทอง 18K เราสามารถแต่งแต้มสีสันของทอง 14K ให้มีความหลากหลายและร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็น white gold, rose gold, หรือ yellow gold จึงสามารถนำมารังสรรค์เป็นจิวเวลรี่ชิ้นพิเศษได้อย่างไร้ขีดจำกัด
สรุป: ทองเค คือทองแท้ตามมาตรฐานจิวเวลรี่ชั้นสูง

คำถามที่ว่า “ทองเคคือทองแท้ไหม”
คำตอบคือ ใช่ — ทองเคคือทองแท้ที่เหมาะที่สุดสำหรับการใช้งานจริงในโลกของจิวเวลรี่ เป็นการผสานศาสตร์แห่งโลหะวิทยาเข้ากับศิลป์แห่งความงาม เพื่อให้ทองคำไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่สะสมได้ — หากแต่เป็นสิ่งที่ “สวมใส่ได้อย่างงดงามและยั่งยืน”
หากคุณกำลังมองหาจิวเวลรี่จากทองแท้ ไม่ว่าจะเป็น ทอง 18K ที่หรูหรา สง่างาม และเปล่งประกายด้วยเฉดสีละเมียดละไมของงานช่างระดับโลกหรือ ทอง 14K ที่แข็งแรง เบา สวมใส่สบาย เหมาะกับทุกวันและทุกโอกาส สามารถทักทายมาหาเราได้ที่ Line @beebijoux เพื่อรังสรรค์จิวเวลรี่ชิ้นพิเศษที่สะท้อนความงามเหนือกาลเวลาในแบบของคุณ



