หลักการ 4Cs คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ
ในวันที่โอกาสสำคัญอย่างการหมั้นหมายหรือการแต่งงานมาถึง หนึ่งในไอเทมที่ใช้เวลาในการเลือกสรร พินิจพิจารณาอย่างละเมียดละไม ก็คงหนีไม่พ้นการเลือกซื้อแหวนเพชร ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แทนใจของคนทั้งคู่ โดยมี “เพชร” เป็นตัวละครเอกของการตัดสินใจครั้งนี้ แต่ความยากก็อยู่ที่ตัวละครเอกอย่างเพชรนี่เอง ที่จะเลือกอย่างไรให้สวยกระแทกใจ ประกายเพชรวิบวับกระแทกตาเข้าอย่างจัง Bee Bijoux จึงอยากให้ลองไปทำความรู้จักกับหลัก “4Cs” หัวใจสำคัญในการเลือกเพชร ที่รู้แล้ว จะเลือกเพชรได้ตอบโจทย์โดนใจอย่างแน่นอน
4Cs คืออะไร
4Cs คือเกณฑ์มาตรฐานในการประเมินคุณภาพเพชร ที่ได้รับการวางบรรทัดฐานมาจาก GIA หรือ Gemological Institute of America สถาบันค้นคว้าวิจัย และทำงานด้านอัญมณีศาสตร์ของอเมริกาที่ได้รับความน่าเชื่อถือและความนิยมมากที่สุดในอุตสาหกรรมเพชร แบบที่เรียกได้ว่าเป็นตัวแม่ตัวมัมของวงการเพชรเลยทีเดียว ซึ่งหลักการ 4Cs นั้นจะประกอบไปด้วย Carat, Color, Clarity และ Cut
เลือกเพชรให้สวยโดนใจตามหลัก 4Cs
1.Carat (กะรัต)
เป็นหน่วยชั่งน้ำหนักของเพชร ที่ 1 Carat จะเท่ากับ 0.2 กรัม ซึ่งหากเพชรมีขนาดใหญ่มาก ก็จะมีน้ำหนักหรือกะรัตมากขึ้น และราคาสูงขึ้นนั่นเอง โดยราคาของเพชรจะขึ้นตามน้ำหนักเพชรแบบก้าวกระโดด เพราะในธรรมชาตินั้น การจะหาเพชรดิบผลึกโตๆให้เจอนั้นก็ยากขึ้นแบบก้าวกระโดดเช่นกัน
2.Color (สี)
อย่างที่เราเห็นๆ กันว่าเพชรส่วนมากมีสีออกขาว แต่จริงๆ แล้วเพชรแต่ละเกรดจะมีสีแตกต่างกันโดยเริ่มจากระดับขาวสุดคือ D Color (ในภาษาไทยนิยมเรียกว่า “น้ำ100”) ก็มักจะหมายถึงเพชรระดับ D color ที่ขาวที่สุด และไล่ระดับลงไปเป็น E, F, G … จะเหลืองขึ้นตามลำดับไปจนถึงอักษร Z ซึ่งราคาก็จะขึ้นกับความขาวด้วยเช่นกัน
3.Clarity (ความสะอาด)
เป็นการตรวจสอบสิ่งเจือปนหรือตำหนิภายในเพชร ที่สามารถเห็นด้วยการส่องด้วยแว่นขยายระดับ 10 เท่า โดยหากเพชรที่ไม่มีตำหนิเลย จะอยู่ในระดับ Internally Flawless หรือ IF แต่หากพบตำหนิในเพชร ก็จะถูกลดระดับความสะอาดลงไปเป็น VVS1, VVS2, VS1, VS2, SI1, SI2, I1, I2, ไปจนถึง I3 ตามลำดับของความสะอาดที่ลดลง
4.Cut (การเจียระไน)
เรื่องนี้ต้องพาไปรื้อความรู้วิทยาศาสตร์กันหน่อยที่ถ้าใครยังจำได้ว่าการตกกระทบของแสงลงบนวัตถุ จะเกิดการสะท้อนออกที่มุมเท่ากัน ซึ่ง Cut หรือการเจียระไนที่ดี จะช่วยให้เหลี่ยมมุมของเพชร มีสัดส่วนที่พอดี มีความสมมาตร ทำให้เกิดการตกกระทบและสะท้อนของแสงที่ดี เพชรก็จะเปล่งประกายสวยงาม วิบวับจับใจ และการเจียระไนที่ดี จะถูกจัดอยู่ในเกรด Excellent และไล่ระดับลงไปเป็น Very Good, Good, Fair และ Poor
ใบรับรองจาก GIA
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เพชรแต่ละเม็ดที่เลือกมา มีคุณสมบัติแต่ละอย่างอยู่ที่ระดับไหน ก็ต้องขออัญเชิญตัวแม่อย่าง GIA ที่มีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติเพชรให้ทำการออกใบรับรองหรือ Certificate เพื่อรับรองคุณภาพให้สอดคล้องกับ 4Cs ซึ่งนอกจากจะทำให้เราสามารถตรวจสอบคุณภาพเพชรจากใบรับรองได้แล้ว ยังการันตีเพชรเม็ดนั้นด้วย Laser Inscription ที่แกะสลักอยู่ที่ขอบเพชรเป็นตัวเลขเดียวกับใบรับรอง โดยเราควรตรวจสอบรายละเอียดของใบรับรอง (GIA Certificate) ก่อนทุกครั้ง ซึ่งวิธีอ่านใบรับรองก็ง่ายมาก ตามนี้
1.GIA Natural Diamond Grading Report เป็นส่วนของข้อมูลทั่วไปในใบรับรอง
- วันที่ออกใบรับรอง
- เลขที่ใบรับรอง (10 หลัก) ที่จำเป็นต้องตรงกับ Laser Inscription ที่ขอบเพชร
- รูปทรงของเพชร
- ขนาด กว้างxยาวxสูง ของเพชร
2.Grading results
เป็นคุณภาพของเพชรตามหลัก 4Cs ตามที่กล่าวไปข้างต้นคือ Carat, Color, Clarity และ Cut
3.Additional Grading Information
- Polish หรือคุณภาพความเงาวาวของการขัดแต่งเพชร
- Symmetry เป็นการบอกความสมมาตรของเพชร
- Fluorescence ใช้บอกระดับสารเรืองแสงภายใต้แสง UV ซึ่งถ้ามีค่าสูง จะทำให้เพชรดูหมอกมัว
- Inscription คือข้อความที่สลักไว้บนเพชร ซึ่งทั่วไปจะเป็นคำว่า GIA และเลขที่ใบรับรอง 10 หลัก
- Comments หมายเหตุอื่น ๆ
เพียงไม่กี่ขั้นตอนของการเลือกเพชรตามหลัก 4 Cs บวกกับความรู้ในการอ่านใบรับรองเพชรอีกเล็กน้อย ก็จะทำให้การเลือกซื้อเพชรเป็นเรื่องง่าย และสวยตรงใจตอบโจทย์อย่างแน่นอนเลยครับ และสำหรับใครที่อยากศึกษาเรื่องการเลือกซื้อเพชรเพิ่มเติม สามารถชมวีดีโอได้จาก